เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติและแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช 9 นักเศรษฐศาสตร์จาก “สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์” ได้นำเสนอบทความ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 กับเศรษฐศาสตร์”
เศรษฐศาสตร์ “ทีมเศรษฐกิจ” เห็นว่าเนื้อหาที่ทั้ง 9 นักเศรษฐศาสตร์นำเสนอนั้นสะท้อนให้เห็นถึงการตกผลึกแห่งพระปรีชาสามารถของในหลวง รัชกาลที่ 9 จึงขอคัดลอกเนื้อหาบางส่วนของ “บทความ” ดังกล่าวเพื่อนำเสนอดังนี้…ในหลวงรัชกาลที่ 9 กับเศรษฐศาสตร์ปิติ ดิษยทัต ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในวิชาเศรษฐศาสตร์สามารถเห็นได้ทั้ง 3 องค์ประกอบ ด้านแรก การจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ พระองค์ท่านได้ทรงเป็นแบบอย่างในการนำความรู้และประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์เข้ากับนวัตกรรมด้านการบริหารจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การบริหารจัดการน้ำหรือเกษตรทฤษฎีใหม่ด้านที่สอง พระองค์ทรงนิยามอรรถประโยชน์ในความหมายกว้างว่า เป็นการยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งด้านวัตถุ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทรงมีสายพระเนตรยาวไกลว่า การพัฒนาที่สมบูรณ์ต้องไม่เพียงมุ่งเน้นแต่การสร้างรายได้ แต่ต้องคำนึงให้ “ชีวิตของแต่ละคน มีความปลอดภัย มีความเจริญ มีความสุข”ระบบแรงจูงใจนั้น พระองค์ทรงประยุกต์หลักปรัชญาของพระพุทธศาสนาวางกรอบการปฏิบัติที่ยึดทางสายกลาง เน้นความเอื้ออารี สามัคคี การมีส่วนร่วม เพื่อสร้างความหมายและความสุขที่แท้จริงของผู้คนบนพื้นฐานความพอดี และรู้จักควบคุมตนเอง สร้างความเข้มแข็งของชุมชน …ดังพระราชดำรัสเมื่อปี พ.ศ.2538 ว่า “สังคมใดก็ตาม ถ้ามีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ด้วยความมุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน สังคมนั้นย่อมเต็มไปด้วยไมตรีจิตมิตรภาพ มีความร่มเย็นเป็นสุข น่าอยู่”เป็นความมหัศจรรย์และความยิ่งใหญ่ในวิชาเศรษฐศาสตร์ที่จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกและเป็นแรงบันดาลใจแก่ปวงชนชาวไทยตลอดไปศาสตร์พระราชากับการแก้ปัญหาความยากจนสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง ทีดีอาร์ไอ
“ศาสตร์พระราชา” คือ แนวทางการพัฒนาที่มีความลุ่มลึกรอบด้านมองการณ์ไกล และเน้นความยั่งยืนมายาวนานก่อนที่ประชาคมโลกจะมาตื่นตัว เป็นแนวทางการพัฒนาที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกหมู่เหล่า
เศรษฐศาสตร์ ความโดดเด่นของศาสตร์พระราชา คือ แนวปฏิบัติที่มีกระบวนการที่มีเอกลักษณ์คำนึงถึงบริบททางภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และสังคมของแต่ละพื้นที่ แก้ปัญหาแบบองค์รวม ให้ความสำคัญกับความรู้สึกเป็นเจ้าของโครงการของคนในพื้นที่ ตามหลักการทรงงานข้อที่ว่าการพัฒนาต้อง “ระเบิดจากภายใน”ตัวอย่างเรื่องเอกลักษณ์การทำงานตามแนวศาสตร์พระราชา คือ การแบ่งเป้าหมายเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ เพื่ออยู่รอด (Survival) พึ่งตนเอง (Self-reliance) และยั่งยืน (Sustainable) ดังผู้ที่ได้ตามเสด็จพระราชดำเนินเล่าว่าพระองค์ท่านมักตรัสถามชาวบ้านว่า “พอมีพอกิน” หรือไม่ แสดงว่าพระองค์ท่านทรงมีลำดับขั้นการพัฒนาที่ชัดเจน และยังหมายถึงการเอาใจใส่ต่อคนจนที่สุด (Poorest of the poor) ซึ่งมักถูกละเลยโดยภาครัฐและกลไกตลาดอีกความโดดเด่นของศาสตร์พระราชาคือ การค้นคว้าวิทยาการเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ เป็นสิ่งที่นักพัฒนายุคหลังเห็นตรงกันว่าคือองค์ประกอบที่สำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนกษัตริย์แห่งนวัตกรรมโสมรัศมิ์ จันทรัตน์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์การเกษตรนี่มีความสำคัญยิ่ง ถ้าไม่มีการเกษตรก็เกือบจะพูดได้ว่าเราจะต้องตายกันหมด เพราะจะไปอาศัยอาหารวิทยาศาสตร์ก็รู้สึกว่าลำบากอยู่และกินไม่ลง…การเกษตรนั้นไม่ใช่เฉพาะการเอาเมล็ดผักไปหยอดในร่องแล้วมันจะขึ้นมาเป็นผลผลิตที่เหมาะสมได้ หากแต่ต้องอาศัยวิชาการอย่างอื่นทุกด้าน พระบรมราโชวาทข้างต้นสะท้อนถึงการบูรณาการหลักเศรษฐศาสตร์กับศาสตร์อื่นๆที่ทรงศึกษา ทรงทดลอง และทรงเข้าพระราชหฤทัย ถึงการพัฒนาการเกษตร ซึ่งเป็นรากฐานการพัฒนาครัวเรือน ชุมชน สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ทรงครองราชย์ พระองค์ทรงพลิกฟื้นพื้นที่เกษตรหลายล้านไร่ทั่วประเทศให้อุดมสมบูรณ์และยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยกว่า 1 ใน 5 ให้กินดีอยู่ดี และพร้อมที่จะแข่งขันในระบบตลาดได้ ผ่านโครงการในพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการและนวัตกรรมที่จดสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธยกว่า 10 ชิ้น พระบรมราโชวาทและผลการศึกษาของพระองค์ท่านได้สร้างหลักคิดและแนวปฏิบัติที่สำคัญในการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนคงจะดีไม่น้อยหากทุกภาคส่วนน้อมนำปรัชญาและแนวปฏิบัติของพระองค์ไปทบทวนวางนโยบาย และการพัฒนาการเกษตรไทย เพื่อการพัฒนาการเกษตรและชุมชนไทยอย่างยั่งยืนสมดังพระราชปณิธาน
แนะนำเศรษฐศาสตร์ อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กเลย : Care the Bear สู่สายตาชาวโลก